“ถึงแม้ตลาดที่อยู่อาศัยจะลดความร้อนแรง แต่ยังมีนักธุรกิจจานอกภาคอสังหาฯ ที่มีเงินทุน มีความสนใจอยากจะลงทุนในธุรกิจนี้มีหลายราย พราะมองว่าการระบาดของไวรัสโควิด 19 เป็นสถานการณ์ชั่วคราว ไม่นานก็จบ”
- CNS ปันผล 0.056 บาท/หุ้น งบปี 62 วงเงิน 120.43 ลบ.
- สู้โคโรนาไม่ไหว หุ้นไทยปิดภาคเช้าลบ 11.11 จุด
- การใช้เทคโนโลยี ช่วยบรรเทาวิกฤติ Covid-19
ดังนั้น นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ควรคำนึง 5 ปัจจัยหลัก 1. บริหารงานโดยคำนึงสภาพคล่อง หารายได้/รายรับ ให้พร้อมกับค่าใช้จ่าย บริหารและจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคาร 2. ไม่ลดพนักงาน ส่งเสริมให้กำลังใจ ฝึกทักษะกันไป 3. ยังคงทำกิจกรรมการตลาด สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาซื้อบ้านว่าช่วงนี้คุ้มค่า พร้อมให้บริการลูกค้าแบบ all services
4. รอจีนกลับมา จากเหตุการณ์ไวรัสโควิด 19 มีคนจีนอาจหาบ้านพักเป็นหลังที่สอง เพราะแพทย์ไทยมีฝีมือและดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยอย่างดี และคนไทยก็มีอัธยาศัยที่ดี นอกจากนี้ไทยเป็นเมืองร้อน เชื้อไวรัสไม่เติบโต สถานการณ์เหมือนน้ำท่วมใหญ่ในไทยเมื่อปี 2554 โครงการต่างจังหวัดที่ผมเคยบุกเบิก มีลูกค้าคน กทม. มาซื้อเป็นหลังที่สอง ดังนั้น จึงหวังว่าลูกค้าคนจีนจะกลับมาซื้อบ้านในไทยอีกครั้ง
5. วางเป้าหมายการตลาดและกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน แบ่งโครงการเป็นเฟส กำหนดแผนเดินหน้า ถอยหลังได้ มีแผน A แผน B คือ แผนสำรอง สมัยน้ำท่วมหรือสงครามเสื้อสีปิดถนน บริษัทอสังหาฯยังบริหารจัดการได้เลย
“ผมผ่านวิกฤตมาหลายรอบ มองว่ายังมีโอกาสอยู่ เพราะเชื่อว่าโรคโควิด 19 การระบาดน่าจะจบภายในไตรมาส 2 ก็จบ อีกประการ รัฐบาลไทยก็จะเริ่มใช้งบในไตรมาส 2 เช่นกัน และในครึ่งปีหลังทุกประเทศเริ่มปรับตัว เริ่มเดินเครื่องลงทุนอีกครั้ง ดังนั้นเราต้องเดินหน้าต่อให้ได้ ทำทุกอย่างรอบคอบ ก้าวเดินช้าไปบ้าง แต่ก็ถึงเป้าหมาย” นายไพโรจน์กล่าว
